ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการซื้อสินค้าและเลือกการบริการที่มากมาย การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รักและเป็นที่จดจำจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมักจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าได้ ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความภักดีและเลือกที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากแบรนด์นั้นซ้ำๆ
แล้วจะทำยังไงให้คนรักแบรนด์เรา? ต่อไปนี้คือ 6 วิธีที่จะทำให้คนรักแบรนด์ของคุณ
1. ขายสินค้าที่มีคุณภาพ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนรักแบรนด์ก็คือสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ สินค้าหรือบริการที่ดีต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง มีคุณภาพดี ใช้งานได้ทนทาน และคุ้มค่ากับราคา
เมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากสินค้าหรือบริการของคุณ พวกเขาก็จะเกิดความประทับใจและรู้สึกไว้วางใจแบรนด์ของคุณมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากแบรนด์ของคุณซ้ำๆ
2. มีการบริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม
บริการลูกค้าที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและพึงพอใจกับแบรนด์ของคุณ บริการลูกค้าที่ดีควรรวดเร็ว ทันท่วงที และมีความเอาใจใส่ลูกค้า พนักงานควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเป็นอย่างดี และสามารถแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อลูกค้าได้รับการบริการที่ดีจากแบรนด์ของคุณ พวกเขาก็จะรู้สึกดีและมีความสุขที่ได้เป็นลูกค้าของคุณ ส่งผลให้พวกเขาบอกต่อแบรนด์ของคุณให้กับผู้อื่น
3. ตั้งราคาให้เป็นธรรม
การตั้งราคาสินค้าหรือบริการให้เป็นธรรมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ลูกค้ามักจะมองหาสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพดีและคุ้มค่ากับราคา หากราคาสินค้าหรือบริการของคุณสูงเกินไป ลูกค้าก็อาจจะหันไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากแบรนด์อื่นแทน
ควรศึกษาราคาสินค้าหรือบริการของคู่แข่งในตลาด และกำหนดราคาสินค้าหรือบริการของคุณให้เหมาะสมกับคุณภาพและบริการที่คุณมอบให้
4. ให้สาระและความบันเทิงแก่ลูกค้า
นอกจากสินค้าหรือบริการที่ดีแล้ว แบรนด์ก็ควรให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และให้สาระแก่ลูกค้า คอนเทนต์ที่ดีควรมีความน่าสนใจและดึงดูดใจ สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้ และช่วยให้ลูกค้าได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
คอนเทนต์ที่มีประโยชน์และให้สาระแก่ลูกค้าจะช่วยให้แบรนด์ของคุณดูน่าเชื่อถือและน่าจดจำมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกดีและมีความสุขที่ได้เป็นลูกค้าของคุณ
5. สื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
การสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้หลากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแอปพลิเคชัน
ควรสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์ รวมไปถึงการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า เพื่อรับฟังความต้องการของลูกค้าและปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
6. สร้างสรรค์และแตกต่าง
ในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง แบรนด์ควรสร้างสรรค์และแตกต่างเพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า แบรนด์สามารถสร้างสรรค์และแตกต่างได้หลากหลายวิธี เช่น การออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น การสร้างคอนเทนต์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ หรือจัดกิจกรรมการตลาดที่สร้างสรรค์
การสร้างสรรค์และแตกต่างจะช่วยให้แบรนด์ของคุณดูโดดเด่นและน่าจดจำมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกดีและอยากที่จะติดตามแบรนด์ของคุณ
แบรนด์ยังสามารถทำสิ่งอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อทำให้คนรักแบรนด์ได้ เช่น ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือสังคม หรือทำกิจกรรมเพื่อสังคม เป็นต้น
การทำให้คนรักแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด แบรนด์ควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
นอกจากวิธีข้างต้นแล้ว การทำ PR ยังเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่จะทำให้ลูกค้าหลงรักแบรนด์ของคุณ
PR เป็นการสื่อสารระหว่างองค์กรแบรนด์กับลูก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มการรับรู้ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มลูกค้า หากพูดง่ายๆ ก็คือ เราจะสื่อสารอย่างไรให้คนชอบแบรนด์ของเรา
การทำ PR ไม่ได้หมายถึงแค่การทำข่าว แต่เป็นการใช้กลยุทธ์การตลาดในหลากหลายด้าน เพื่อช่วยสร้าง Value ให้กับแบรนด์ เช่น การยิง Ads ก็ถือเป็นการ PR รูปแบบหนึ่ง
จะสร้าง Value ด้วยการทำ PR ได้อย่างไร
PR จะสามารถสร้าง Value ได้อย่างเต็มที่ แบรนด์ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย สร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการวัดผลลัพธ์ การทำ PR ที่ดีประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการสร้างคอนเทนต์ PR โดยวัตถุประสงค์ของการสร้างคอนเทนต์ PR อาจครอบคลุมถึงการสร้างการรับรู้ การสร้างภาพลักษณ์ สร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มเป้าหมาย
2. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
ขั้นตอนต่อมาคือการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์เนื้อหา PR ที่เหมาะสมกับความสนใจและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจและมีส่วนร่วม โดยสามารถวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ อาชีพ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ เป็นต้น
3. วิจัยและรวบรวมข้อมูล
ขั้นตอนที่สามคือการวิจัยและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์เนื้อหา PR ที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ โดยสามารถวิจัยและรวบรวมข้อมูลได้จากแหล่งต่างๆ เช่น สื่อมวลชน เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย เป็นต้น
4. สร้างสรรค์เนื้อหา
ขั้นตอนที่สี่คือการสร้างสรรค์เนื้อหา PR โดยเนื้อหา PR ควรมีคุณภาพ น่าสนใจ และเป็นประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมาย โดยเนื้อหา PR อาจนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น บทความ วิดีโอ อีเมล ข่าวประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
5. เผยแพร่และวัดผล
ขั้นตอนสุดท้ายคือการเผยแพร่และวัดผลผลลัพธ์ของการสร้างคอนเทนต์ PR โดยสามารถวัดผลผลลัพธ์ได้หลายวิธี เช่น การวัดการรับรู้ การวัดภาพลักษณ์ การวัดความน่าเชื่อถือ และการวัดความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย
และการใช้เครื่องมือต่างๆดังด้านล่างนี้ จะช่วยสร้าง Value ให้แบรนด์ได้เช่นกัน
นำ PESO Model มาใช้
- Paid Media สื่อที่แบรนด์จ่ายเงินเพื่อพื้นที่โปรโมต
- Earned Media สื่อที่ได้รับจากการพูดถึงโดยที่แบรนด์ เช่น การบอกปากต่อปาก
- Shared Media สื่อที่ลูกค้าสร้างขึ้นมา เช่น การรีวิวจากลูกค้า
- Owned Media สื่อที่แบรนด์เป็นเจ้าของเอง เช่น เพจ Facebook ของแบรนด์
ในการนำ PESO Model มาใช้นั้น ต้องทำด้วยการบาลานซ์ กล่าวคือ ไม่ควรให้ความสนใจแค่การ PR ประเภทใดประเภทหนึ่ง เมื่อสนใจทำ Paid Media ก็ไม่ควรละเลยการทำ Owned Media
หากต้องการโน้มน้าวให้คนสนใจแบรนด์ ควรใช้ Shared Media หากอยากให้คนหันมาชื่นชอบแบรนด์มากขึ้นก็ใช้ Earned Media
ใช้การสื่อสารแบบ PR
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นควรมีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ชัดเจน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
- Outputs
เป็นระดับแรกของการสื่อสารที่เป็นการวัดว่าองค์กรได้ส่งสารออกไปแล้วหรือไม่ มีการเผยแพร่เนื้อหาผ่านช่องทางต่างๆ มากน้อยเพียงใด เช่น การออกข่าวประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่คอนเทนต์ผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นต้น
- Outtakes
เป็นระดับที่วัดว่ากลุ่มเป้าหมายได้รับรู้เนื้อหาที่องค์กรเผยแพร่ออกไปหรือไม่ โดยอาจวัดจากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ จำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย หรือจำนวนการแชร์เนื้อหา เป็นต้น
- Outcomes
เป็นระดับที่วัดว่าเนื้อหาที่องค์กรเผยแพร่ออกไปมีผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างไร เช่น กลุ่มเป้าหมายเข้าใจข้อความที่องค์กรต้องการสื่อหรือไม่ กลุ่มเป้าหมายมีทัศนคติหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เป็นต้น
- Impacts
เป็นระดับที่วัดผลลัพธ์ของการสื่อสารว่าส่งผลต่อองค์กรอย่างไร เช่น องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ดีมากขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น หรือพนักงานมีความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น เป็นต้น
ใช้วิธีวัดผลแบบ PR
- Estimated earned value
เป็นวิธีวัดผลที่ง่ายและสะดวก โดยวัดจากจำนวนผู้เข้าชมและจำนวนการเข้าถึงเนื้อหาที่องค์กรเผยแพร่ออกไป อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่สามารถสะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของการสื่อสารได้
- Research Tech Index
เป็นวิธีวัดผลที่อาศัยข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล โดยวัดจากผลกระทบของเนื้อหาที่องค์กรเผยแพร่ออกไป เช่น จำนวนการแชร์ จำนวนการกล่าวถึงในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น วิธีนี้สามารถสะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของการสื่อสารได้ดีกว่าวิธี A แต่อาจต้องใช้งบประมาณและเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล
- Branded Index
เป็นวิธีวัดผลที่องค์กรสามารถกำหนดเองได้ โดยวัดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ยอดขาย ยอดไลค์บนโซเชียลมีเดีย คะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค เป็นต้น วิธีนี้สามารถสะท้อนถึงผลลัพธ์ของการสื่อสารได้ตรงกับวัตถุประสงค์ขององค์กรมากที่สุด แต่อาจต้องใช้ความซับซ้อนในการออกแบบและวัดผล
- Publisher reveal real numbers from their analytics
เป็นวิธีวัดผลที่อาศัยข้อมูลจากสำนักพิมพ์ โดยวัดจากจำนวนผู้เข้าชม จำนวนการเข้าถึง และจำนวนการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาที่องค์กรเผยแพร่ออกไป วิธีนี้สามารถสะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของการสื่อสารได้ดีกว่าวิธี A แต่อาจต้องใช้ความพยายามในการติดต่อกับสำนักพิมพ์เพื่อขอข้อมูล
นอกจากขั้นตอนต่างๆ ข้างต้นแล้ว การสร้างคอนเทนต์ PR ที่ดีนั้น จำเป็นต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ที่ EscendeX เรามีนักการตลากที่มีความรู้ความเข้าใจในหลักการและกลยุทธ์การ PR รวมถึงเทคนิคการเขียนคอนเทนต์ที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่
E-mail: contact@escendex.com
Blockdit: https://www.blockdit.com/escendex
Facebook: https://www.facebook.com/EscendeX
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/escendex
Medium: https://medium.com/@escendex